วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ตัวแทน



               เบียร์สไตล์วีทเบียร์คือเบียร์ประเภทที่เกิดจากการหมักชนิคจมตัว เมื่อรินเบียร์ใส่แก้วจะพบกับเนื้อเบียร์สีเหลืองขุ่น มาพร้อมกับกลิ่นผิวของผลไม้รสเปรี้ยวและกลิ่นคล้ายเลมอน เมื่อยกดื่มจะสัมผัสได้ถึงความเป็นวีทเบียร์ได้อย่างชัดเจน ด้วยกลิ่นของกานพลู เลมอน ผิวของผลไม้รสเปรี้ยว และกลิ่นของกล้วยสุกบางๆ
มีเปอร์เซ็นแอลกอฮฮล์ 5% เท่านั้นเอง ถือว่าคุณผู้หญิงก็จิบๆได้นะคะ 55+ เหมือนผนักงานแนะนำสินค้าเลยปะ? ตอนที่ได้ไปทานตัวนี้อันที่จริงเซไม่ได้สั่งตัวนี้นะ เซจะสั่งโฮการ์เด้น แต่!!!!!หมด..........
เจ้าของร้านเค้าเลยบอกว่าให้เอาวีเด็ทไปลองดื่มแทนดูเพราะมาจากเบลเยี่ยมเหมือนกัน และรสชาติจะคล้ายกับโฮการ์เด้นมาก
             
              


 
   สีเหลืองอำพันๆอ่อนคล้ายๆ DOVEL


ใกล้ๆคะ แก้วหนามาก ออกมาตั้งนานยังไม่หายเย็นเลย



แอบเห็นสมุดด้านหลังเพราะมานั่งทำงาน แต่จิบเบียร์ไปด้วย 55+


                อันนี้ขอบอกนิดนึงนะคะสำหรับการที่ไปร้านเบียร์ เวลาที่เราอยากจะทานอะไรแต่หมดให้เราลองสอบถามกับคนที่เค้าพอจะมีความรู้ว่า ให้แนะนำเบียร์ให้หน่อย อย่าแบบว่าพอหมดแล้วก็เปลี่ยนแนวเลยไปกินอย่างอื่น ให้ลองดูคะว่าอะไรที่มันแทนกันได้เพราะมันจะถือเป็นการได้ความรู้อย่างหนึ่ง นะคะ อย่างตัวโฮการ์เด้นเนี่ยะ จะมีตัวที่แทนได้อยู่ 2 ตัวนั้นก็คือ VEDETT และ HITASHINO เพราะสองตัวนี้รสชาติจะคล้ายกันสุดๆไปเลยเหมือนผลิตออกมาจากโรงงานเดียวกัน ยังไงก็ลองหาทานกันดูนะคะ หาซื้อง่ายมากๆ ตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปก็มีแล้วคะ ^^

               

มาดู LAGER ที่นุ่มๆกันบ้าง

               

               วันนี้นำเสนอ Hacker-Pschorr Münchner Kellerbier - Anno 1417 เป็นเบียร์ Style Keller Bier คือเป็นเบียร์ Lager ที่ผลิตแบบเยอรมันโบราณเป็นเบียร์ลาเกอร์ที่การผลิตจะไม่ผ่านการกรองโดยนำมาบรรจุทันทีหลังจากเก็บในถังบ่ม เบียร์ประเภทนี้เรียกว่า"Kellebier" มีความซ่าน้อยและหวานมากกว่าเบียร์ลาเกอร์อื่นๆ มีฟองหนาเต็มไปด้วยวิตามินจากยีสต์ มีสีอัมพันขุ่น ฟองหนาละเอียด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมอลท์ปนกับผลไม้ และคาราเมลผสมกับฮอพส์ รสนุ่มดื่มง่าย ไม่มีการกรองในขั้นตอนสุดท้าย ทำให้มีวิตามินจากยีสที่คงเหลือ ฟองเยอะ หายช้า ติดแก้วดีทีเดียว ซ่าน้อย กลิ่นออกอับๆ ฟางๆ นิดๆ มีกลิ่นแบบ Lager แต่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น รสออกหวานนิดๆ มันๆ ขมนิดๆ ตอนปลาย body ปานกลาง-แน่น 5.5%Abv.


  
นี่เลยรูปคู่


สังเกตที่ฟองเบียร์จะละเอียดมาก นุ่มสุดๆ



ดีไซด์ฝาเปิดที่เป็นเอกลักษณ์


               สรุป อร่อยดีคะ ดื่มง่ายสบายๆ ตาม style lager แต่มีความแน่นที่มากขึ้น ไม่หวานเกินไป และเซก็ชอบตรงดีไซด์ของฝาเปิดนี่แหละ เก๋มาก ^^ 

               วันนี้ข้อมูลอาจจะน้อยไปหน่อยนะคะเพราะว่าเซไม่ได้ดื่มเอง แอบชิมๆของเพื่อนเอา อิอิ ไว้ถ้ามีโอกาสได้มีแก้วเป็นตัวเองจะมาอัพใหม่ละกันนะคะ ^^

Trappist Rochefort

               เรามาต่อยอดกับเบียร์ที่มีต้นกำเนิด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเบียร์เบลเยียมคือ Trappistเบียร์ทรัปปิสต์จัดเป็น ales beer

ประวัติ
               ในยุคกลางเบียร์เป็นที่นิยมมากในยุโรปเหนือเพราะถูกสุขลักษณะกว่าน้ำและมี คุณค่าทางโภชนาการอยู่ในตัว ช่วงศตวรรษที่ ๑๙ วัดและสำนักสงฆ์นิกายคาทอลิคแถบนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส พัฒนาการผลิตเบียร์เพื่อสร้างรายได้สำหรับซ่อมแซมบำรุงรักษาอาคารและศาสนสถานที่ถูกทำลายไปในเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส แม้เวลาจะร่วงเลยไปเป็นร้อยปี เคล็ดลับในการผลิตเบียร์เหล่านั้นยังคงมีการถ่ายทอดและพัฒนากันจากรุ่นสู่ รุ่น ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีให้เราได้ลิ้มลองกันอยู่ภายใต้ชื่อ ทรัปปิสต์เบียร์ (Trappist Beer) และแอ็บบีย์เบียร์ (Abbey Beer)เบียร์ที่สามารถเรียกว่า “ทรัปปิสต์” (Trappist) ได้นั้นจะต้องผลิตโดยพระในนิกายคาทอลิคซึ่งมีความเกี่ยวพันกันกับสำนักสงฆ์ La Grande Trappe แห่งนอร์มังดี อันเป็นแหล่งที่มาของชื่อ Trappists ซึ่งปัจจุบันนี้มีแอ็บบีย์เพียง ๗ แห่งในโลกที่ยังคงผลิตเบียร์ทราปปีสต์และได้รับอนุญาตให้ใช้โลโก้ “Authentic Trappist Product” โดย ๖ ใน ๗ แอ็บบีย์นี้อยู่ในประเทศเบลเยียมปริมาณเบียร์ที่ผลิตจึงมีไม่มากนัก แค่เพียงพอสำหรับจะค่าใช้จ่ายภายในวัดและกองทุนการกุศลเท่านั้น ทรัปปิสต์บางแห่งจึงผลิตน้อยและเปิดขายเฉพาะหน้าโรงเบียร์ให้เฉพาะผู้ซื้อ รายย่อย 

               จริงๆแล้ว Trappist มีหลายตัว วันนี้เซขอแนะนำเป็นตัว Trappist Rochefort แล้วกันนะคะ เบียร์สไตล์ควอดดรูเปล เมื่อรินใส่แก้วจะพบกับเนื้อเบียร์สีน้ำตาลเข้มจนถึงน้ำตาลดำ มาพร้อมกับฟองสีน้ำตาลอ่อนๆให้กลิ่นหอมหวานอันซับซ้อน คล้ายกลิ่นเกสรดอกไม้ เมล่อน และผลไม้จำพวกเปลือกสีดำเข้ม เมื่อยกดื่มจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นดังกล่าวได้ชัดเจนมากขึ้น มีรสหวานและขมที่สร้างสมดุลให้กันดีมากๆ และเป็น 1 ในเบียร์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับและจัดให้อยู่อันดับต้นๆของเบียร์ที่รสชาติ ดีที่สุดในโลกอีกด้วย
เปอร์เซ็นแอลกอฮอล์ 11.3% (ถือว่าสูงๆมากและสูงที่สุดเท่าที่เซได้แนะนำมาทั้งหมด)



                                           
 ภาพจากมุมสูง


แก้วที่ดูหรูมีสไตล์


ถึงขวดจะเล็กแต่ขอบอกเมานะคะ


               ใครที่ชอบเบียร์หนักๆต้องขอให้เลือก Trappist Rochefort ไว้เป็นตัวเลือกแรกด้วยนะคะ รับรองเลยว่าเพื่อนๆจะต้องไม่ผิดหวังกันแน่นอน เวลาที่กินตัวนี้เซรู้สึกเหมือนได้บุญนิดๆยังไงไม่รู้นะ55+ เพราะเห็นเค้าบอกว่ารายได้ส่วนหนึ่งก็จะเอาไปเป็นการกุศล 
               ยังไงเซก็ขอฝากเบียร์ตัวนี้ให้เพื่อนๆได้ไปลองชิมกันดูนะคะ และหากอยากรู้จักตัวไหนก็มาเม้นบอกกันที่ข้างล่างหน่อยเซจะได้ไปลองชิมดู อิอิ 



วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Paulaner Salvator


               อย่างที่เคยพูดให้ฟังบ่อยๆ เบียร์ทั้งหลายที่อยู่ในตลาดเมืองไทย เกือบทั้งหร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นลาเกอร์เบียร์ทั้งหมด สิงห์ ช้าง ลีโอ เชียร์ อาชา ไฮเนเก้น ซานมิเกล ( พิลสเนอร์ก็ใกล้เคียงลาเกอร์ ) แอลกอฮอล์ก็อยู่ประมาณ 4.5 - 5.4 ไม่เกินนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว ลมเย็นๆเริ่มพัดมาให้เด็กขี้เหงา ออกอาการเพ้อซะหลายคนเข้าหน้าหนาวแล้ว จะกินเบียร์รับหนาว ต้องแรงๆหน่อย  วันนี้ขอแนะนำ เบียร์ตัวแรง  ที่แอลกอฮอล์ สูงโด่ จน "ฟาดหมดแก้วแล้วจะกลิ้ง"
  • Paulaner Salvator   ประเภท Ale ( Dopple bock )  Alc. 7.9%  บ้านเกิด มิวนิค German ปริมาตร 0.33L.
    สีแดงส้ม อำพัน ทึบลึก น่ากลัวมาก ตอนที่รินออกมาสังเกตได้เลยว่าข้นเหนียว "เจ้มจ้น" เต็มปากเต็มคำ หอมน้ำตาลไหม้ คาราเมล ท๊อฟฟี่ ฟูลบอดี้ หวานหอม
    • Salvator เป็นภาษาละติน น่าจะแปลว่า "ผู้เยียวยา" หรือ "ผู้รักษา" ฉลากนักบวชกับขุนนาง น่าสนใจ
    • ดื่มเบียร์ตัวนี้ไม่ต้องเย็นมาก เนื่องจากตัวนี้เป็น ALE เบียร์เอลสามารถกินแบบไม่เย็นได้ รสชาติก็ยังคงความอร่อย ซึ่งจะต่างจากลาเกอร์ ลองกินแบบไม่เย็นดูซิ 55+ นรกชัดๆ ตัวอย่างเช่น ลีโอ สิงฆ์ 

     ตัวนี้เป็นดับเบิ้ลบ๊อค หากใครที่ชอบตัวแรงแนะนำเลยคะ ตัวนี้ๆๆๆๆๆ แต่บอกก่อนนะคะเดี๋ยวจะเข้าใจผิด หลายคนคิดว่า เบียร์ที่แรงต้องอเป็นเบียร์ดำเท่านั้น ไม่จริงเลยคะ ตัวนี้ไม่ใช่เบียร์ดำแต่ก็ยังแรง ลองดูกันนะ
     
ขวดเล็กนะคะไม่เหมือน Paulaner ตัวอื่นๆ


นี่มาดูกันใกล้ๆ
  • เบียร์แรงๆพวกนี้เหมาะกับดื่มแบบละเลียด ไม่ต้องเย็นจัด  อากาศหนาวแบบนี้ เบียร์ไม่เสียอุณหภูมิ ดื่มได้นานไม่ต้องรีบ
  • 2 ขวดก็แทบจะตีลังกากลับบ้าน
  • 3 ขวด  เริ่มพูดไม่รู้เรื่อง
  • 4 ขวด ......หลับ
  • เบียร์แรงจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่


วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

เบียร์ที่มียีสเยอะที่สุด






               FULLER'S ตัวนี้เป็นอินเดีย เพล เอล หรือ ไอพีเอ (IPA) เป็นเบียร์ประเภทย่อยของ เพล เอล แต่เบียร์สไตล์นี้ก็กลายมาเป็นเบียร์เอลที่นิยมกันมากที่สุดแบบหนึ่ง  ไอพีเอ ในตอนเริ่มแรกเป็นเบียร์ที่สามารถส่งออกจากสหราชอาณาจักรไปยังประเทศอินเดีย ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1800  เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการนำระบบแช่เย็นมาใช้ เบียร์จึงเสียก่อนที่จะไปถึงประเทศอินเดีย  วิธีแก้ปัญหาก็คือ เติมใบฮ็อพลงไปเยอะๆ ซึ่งช่วยทำหน้าที่เป็นสารกันเสียธรรมชาติ  สิ่งที่ได้มาก็คือเบียร์ที่มีปริมาณฮ็อพสูง และมีรสชาติเหมือนกับ เพล เอล ซึ่งรสชาติดีและให้ความสดชื่นในสภาวะอากาศร้อน
ไอพีเอ กลายเป็นเบียร์ที่นิยมดื่มกันในหมู่ของทหาร กะลาสี นักผจญภัย และพวกเรือรบส่วนตัว และเมื่อพวกเขาเดินทางกลับบ้าน พวกเขาก็นำความต้องการกลับมาด้วย  เนื่องด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้เริ่มมีการเติมฮ็อพลงไปในเบียร์เอลของอังกฤษ



แก้วของตัว IPA หมด เลยเอาแก้วของ PORTER มาใช้ก่อน



 สีเหลืองอำพัน



ตัวนี้จะไม่ค่อยมีฟอง


               เบียร์ตัวนี้อย่างที่ได้กล่าวมาคือจะมียีสเยอะกว่าเบียร์ทั่วไป กลืนเข้าไปอึกแรกถึงกับแสบคอกันเลยทีเดียว ซึ่งจะแตกต่างจากตัว FULLER'S ตัวอื่นๆ ตัวอื่นจะนุ่มและกินง่ายมาก สำหรับเซแล้วตัวนี้ขอผ่านคะ ความรู้สึกส่วนตัวนะ คล้ายๆว่าแรงไป แต่อันที่จริงแล้วปริมาณแอลกอฮอร์เพียงแค่ 5.3 เท่านั้นเอง บางตัว 8.3 ยังกินง่ายกว่าตัวนี้อีก -..- 

               เอาละคะเดี๋ยวต้องขอเวลาไปทำธุระแป๊บนึง เดี๋ยวไว้กลับมาจะมาอัพให้เพื่อนอ่านต่อนะคะ

Triple Karmeliet

               ในตอนนี้นะคะเซขอเสนอเบียร์ตระกูลเบลเยี่ยมที่ถือได้ว่าเก่าแก่มากที่สุด  มีชื่อว่า Karmeliet Triple ครั้งแรกเลยในที่เซได้ไปนั่งร้านเบียร์นอกร้านหนึ่งแถวมอรังสิต พอบอกเจ้าของร้านว่าแนะนำหน่อยเพราะช่วงแรกยังไม่รู้พวกเบียร์นอกไม่มาก Karmeliet Triple ก็เป็นตัวแรกเลยที่พี่เค้าแนะนำ พี่เค้าบอกว่ามันเป็นเบียร์เก่าแก่มากกว่า300ปีเลยทีเดียว กลับมาบ้านเลยลองหาข้อมูลดู เดวเพื่อนๆลองอ่านกันนะคะ
               Triple Karmeliet เป็นเบียร์ที่ผลิตตามสูตรเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1679 ที่เกิดในวัดวิหารเก่าชื่อ Carmelite ใน Dendermonde ในเบลเยี่ยม ที่คิดค้นมามากว่า 300 ปีที่แล้ว ด้วยสูตรที่ใช้ธัญพืชสามชนิด ทั้งข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ เบียร์แอ็บบีย์สไตล์ Triple ที่รสหนักแน่นแต่ละมุนนี้จะผ่านขั้นตอนการหมักครั้งสุดท้ายภายในขวด ด้วยความภาคภูมิใจและวิสาหะจึงได้เบียร์ที่เป็นธรรมชาติ 100%

ความเป็นมาของ Karmeliet Triple 
               เรื่องราวของ Bosteels Brewery เริ่มก่อตั้งในหมู่บ้านเล็ก Buggenhout ด้วยลานที่กว้างขวาง ตึกที่สวยงามที่เคยเป็นบ้านพักอาศัย รวมไปถึงหอคอยเก่าที่เคยสถานที่ผลิตเบียร์ โดยโรงเบียร์นี้เป็นของตระกูล Bosteels มากกว่า 200 ปีและทายาทถึง 7 รุ่น โดย Evarist Bosteel บรรพบุรุษของตระกูลเริ่มก่อตั้งโรงเบียร์ขึ้นในปี 1791 หลังจากนั้นก็ Jozef ผู้ที่มีลูกชาย 3 คน โดยคนนึงชื่อ Fran ซึ่งต่อมาได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองถึง 13 ปี ส่วนลูกอีกสองคนคือ Martin และ Lodewijk ก็สืบทอดตระกูลคนทำเบียร์ของครอบครัวต่อไป จนถึงรุ่นของ Leon ลูกของ Martin ที่เข้ามาดูแลธุรกิจในปี 1938 เรื่อยไปจนถึง Antoine Bosteel ที่เป็นลูกของ Leon อีกทอดหนึ่งได้สืบทอดมรดกต่อไป 


               เราไปดูหน้าตาของเบียร์ในตำนานกันเลยดีกว่า ....................(รูปอาจจะน้อยนะคะ เพราะแบตหมดซะก่อน)








ดูจากอะไรหลายๆอย่างแล้วความรู้ก็บ่งบอกเลยว่าเก่าแก่แน่นอน แล้วอีกอย่างเรื่องประวัติของความเป็นมายาวนานถึงตั้ง 300 ปี เอาเป็นว่าตัวนี้ก็โอเคนะสำหรับเพื่อนๆที่นิยมเบียร์นอก ลองหามาชิมกันดูนะคะ
ครั้งนี้รูปอาจจะน้อยไปหน่อยนะคะ เดี๋ยวไว้จะชดเชยใหม่ในครั้งน้าละกันน้า ^^





ALE*



               ในสัปดาห์นี้ เราจะมาคุยกันเรื่องเบียร์เอลชนิดต่างๆ ที่มีขายในเมืองไทยบ้าง  ดังที่ได้เคยเกลิ่นไปว่า “เอลคือเบียร์หมักปากถัง หมายความว่า การหมักเกิดขึ้นที่ด้านบนสุดของถังหมัก  นอกจากนี้ เบียร์เอลยังเกิดการหมักที่อุณหภูมิสูงกว่า จึงทำให้เบียร์ชนิดนี้มีสีเข้มกว่า และโดยทั่วไปจะมีรสชาติแรงกว่าเบียร์ลาเกอร์”

เอล  ประวัติโดยย่อของเบียร์ดี
               
เอลเป็นเครื่องดื่มที่มีอายุเก่าแก่กว่าอารยธรรมใดๆ ในปัจจุบัน  เท่าที่เราทราบ เครื่องดื่มที่มีความคล้ายคลึงกับเอลเริ่มหมักกันครั้งแรกเมื่อช่วงประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาลในยุคเมโสโปเตเมียโบราณ (ปัจจุบันคือประเทศอิรักและซีเรีย)  นอกจากนี้ยังมีการหมักเครื่องดื่มชนิดนี้ในยุคอียิปต์โบราณ และต่อมาก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรปโดยกองทหารโรมัน เรื่อยมาจนถึงสหราชอาณาจักรเมื่อประมาณปีคริสตศตวรรษที่ 55
ในช่วงยุคกลาง เบียร์เอลเป็นเครื่องดื่มธรรมดาที่ดื่มได้แทบจะทุกคน รวมทั้งเด็กๆ ด้วย เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารและที่จริงแล้วปลอดภัยกว่าการดื่มน้ำ  เบียร์เอลส่วนมากที่ดื่มกันในยุโรปยุคกลางนั้น ความจริงพวกพระเป็นผู้หมักและปรับปรุงคุณภาพ  เมื่อมาถึงคริสต์ทศวรรษ 1400 จึงเริ่มมีใบฮ็อพในสหราชอาณาจักรโดยชาวดัทช์เป็นผู้นำเข้ามา และผู้ผลิตเบียร์ก็เริ่มนำใบฮ็อพมาหมักร่วมกับเบียร์เอล
ตลอดช่วงเวลาหลายปี ได้มีการพัฒนาเบียร์เอลมากมายหลายชนิด แต่ในส่วนใหญ่ เบียร์เอลก็นับว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงหลายร้อยปี  สัปดาห์นี้ เราจะกล่าวถึงเบียร์เอลประเภทหลัก 4 ประเภทแรก
บิทเทอร์ เอล
               
บิทเทอร์ เอล เป็นเบียร์แบบที่ได้รับความนิยม ผลิตในสหราชอาณาจักร และปกติจะมีสีต่างกันไปตั้งแต่ทองจนไปถึงเหลืองอำพัน มีรสชาติอ่อนๆ ของผลไม้ และมีรสขมของใบฮ็อพ  เบียร์บิทเทอร์จะมีความหลากหลายของบอดี้ตั้งแต่อ่อนไปจนเข้ม และก็ยังเป็นเบียร์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบสำหรับการดื่ม  เมื่อเบียร์บิทเทอร์ เอล มีรสแรงและเข้ม จึงได้รับการตีตราเป็น อีเอสบี (ESB, Extra Strong Bitter) ซึ่งเป็นเบียร์ยอดนิยมของผับในสหราชอาณาจักร  เบียร์บิทเทอร์ เอล ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ อีเอสบี ของ ฟุลเลอร์
เพล เอล
               
เพล เอล เป็นเบียร์เอลในสไตล์ที่ปกติจะมีสีค่อนข้างอ่อน  เพล เอล มีความสมดุลที่พอดีของรสชาติมอลต์และใบฮ็อพ ซึ่งทำให้เบียร์มีอาจมีรสชาติอ่อนๆ ของผลไม้ และอาจมีทั้งแบบค่อนข้างอ่อนไปจนถึงทั้งขมทั้งแรงแบบจัดจ้าน
เพล เอล จะคล้ายกับ บิทเทอร์ เอล แต่มักจะแรงกว่าเล็กน้อยและมีฮ็อพน้อยกว่า  ทำให้เบียร์นี้เป็นที่ชื่นชอบของคนที่รับรสได้ดีกว่า  ตัวอย่างที่ดีของ เพล เอล คือ โยน่า โยน่า เอล ของ โย-โฮ บริววิ่ง
บราวน์ เอล
               
บราวน์ เอล เป็นเบียร์ประเภทที่มีฮ็อพน้อย มีรสหวานเล็กน้อย มักจะมีสีน้ำตาลไปจนถึงเหลืองอำพันเข้ม  บราวน์ เอล หลายชนิดมักจะมีรสชาติคล้ายถั่วนิดๆ โดยเฉพาะถ้ามาจากทางตอนเหนือของสหราชอาณาจักร  บราวน์ เอล ของอเมริกัน มักจะแรงกว่า บราวน์ เอล ของอังกฤษ และบางทีจะส่งกลิ่นฉุนของผลไม้รสเปรี้ยวมากกว่าเล็กน้อย
บราวน์ เอล ชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ นิวคาสเซิล บราวน์ ซึ่งก็น่าเศร้าที่ไม่มีขายในเมืองไทย  ถ้าคุณจะหาเบียร์ที่คล้ายๆ กัน ก็อาจจะลอง เฮเซลนัท บราวน์ ของ โร้ก ดูก็ได้
อินเดีย เพล เอล
               
อินเดีย เพล เอล หรือ ไอพีเอ (IPA) เป็นเบียร์ประเภทย่อยของ เพล เอล แต่เบียร์สไตล์นี้ก็กลายมาเป็นเบียร์เอลที่นิยมกันมากที่สุดแบบหนึ่ง  ไอพีเอ ในตอนเริ่มแรกเป็นเบียร์ที่สามารถส่งออกจากสหราชอาณาจักรไปยังประเทศอินเดีย ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1800  เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการนำระบบแช่เย็นมาใช้ เบียร์จึงเสียก่อนที่จะไปถึงประเทศอินเดีย  วิธีแก้ปัญหาก็คือ เติมใบฮ็อพลงไปเยอะๆ ซึ่งช่วยทำหน้าที่เป็นสารกันเสียธรรมชาติ  สิ่งที่ได้มาก็คือเบียร์ที่มีปริมาณฮ็อพสูง และมีรสชาติเหมือนกับ เพล เอล ซึ่งรสชาติดีและให้ความสดชื่นในสภาวะอากาศร้อน
ไอพีเอ กลายเป็นเบียร์ที่นิยมดื่มกันในหมู่ของทหาร กะลาสี นักผจญภัย และพวกเรือรบส่วนตัว และเมื่อพวกเขาเดินทางกลับบ้าน พวกเขาก็นำความต้องการกลับมาด้วย  เนื่องด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้เริ่มมีการเติมฮ็อพลงไปในเบียร์เอลของอังกฤษ 
             
               คะและข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ต้องขอขอบคุณ คูณอิเตอร์เน็ตอย่างสุดซึ้ง TT เพราะให้เซคิดเองคงคิดไม่ได้แน่ๆ55+ แล้วเดี๋ยวในตอนต่อไปนะคะเราจะมาเข้าโหมดเบียร์ตามแบบของเซกันละ จุฟๆ บายย

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้เล็กๆ ^^

               วันนี้เซขอมีสาระซักวันนึงละกันนะคะ หลังจากที่ครั้งก่อนๆลงไปรู้สึกว่ามีแต่ความคิดและความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น วันนี้ลองมาอ่านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเบียร์กันดูดีกว่า รับรองว่าได้ประโยชน์กันแน่ๆ ^^








               จากการหาข้อมูลเท่าที่พอจะมีบ้างไม่มีบ้าง พอจะทราบได้ว่าเบียร์ลาเกอร์นั้นในภาษาเยอรมันแปลว่า ที่เก็บรักษา, การกักเก็บ(Storage) ลาเกอร์ถูกคิดค้นขึ้นประมาณในยุค 1800s ในแถบประเทศเยอรมันและ โบฮีเมีย (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเช็ก) แต่มีบางแหล่งก็กล่าวว่าอาจเริ่มมีตั้งแต่ยุค 1500s เบียร์ลาเกอร์นั้นคาดกันว่าถูกคิดค้นขึ้นมาหลังจากเบียร์ประเภท Ale (เอล) ซึ่งลาเกอร์นั้นจะต่างจากเบียร์เอลตรงที่ยีสต์ที่ใช้ในการหมักลาเกอร์นั้นจะทำงานภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำ (ประมาณน้อยกว่า 55 องศาฟาเรนต์ไฮท์) และจะนอนก้นหลังเสร็จสิ้นกระบวนการหมัก การหมักโดยอุณหภูมิที่ต่ำทำให้ได้ผลผลิตที่ใสและสะอาด ในขณะที่ยีสต์สำหรับเอลนั้นจะทำงานในอุณหภูมิที่สูงกว่าและจะลอยผิว กระบวนการหมักในอุณหภูมิที่สูงของเอลทำให้กระบวนการหมักบ่มใช้เวลาเร็วและโดดเด่นในเรื่องรสชาติและกลิ่นของผลไม้




 

               ดังนั้นเรียกได้ว่าลาเกอร์คือเบียร์ประเภทยีสต์หมักนอนก้น โดยหลังจากเสร็จกระบวนการหมักแล้ว ลาเกอร์จะถูกเก็บไว้ในห้องเย็นที่อุณหภูมิประมาณ 0 ถึง 32 องศาเซลเซียส เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือ หลายเดือน ก่อนจะนำออกบริโภค ซึ่งการมาของเบียร์ลาเกอร์โดยเฉพาะลาเกอร์สีเข้ม (Dark Lager) ทำให้เกิดความนิยมบริโภคเข้าไปสู่กลุ่มคนที่ดื่มเบียร์เอลอยู่ก่อนแล้ว
               เบียร์ลาเกอร์สีอ่อน หรือที่เรียกเป็นภาษาเบียร์ว่า เพล ลาเกอร์ (Pale Lager) เป็นที่นิยมแพร่หลายที่สุดในหมู่นักดื่มและมีหลากหลายในทั่วโลก ซึ่งเพล ลาเกอร์เพิ่งเริ่มมีในตอนปลายยุคศตวรรษที่ 19 นี้เอง และตามมาด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “เครื่องทำความเย็น(ตู้เย็นนั่นเอง)” จึงทำให้การผลิตเบียร์ลาเกอร์ไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติมากนัก อ้อลืมบอกไป ในยุคที่ไม่มีตู้เย็น ว่ากันว่าในการทำเบียร์ลาเกอร์นั้นจะต้องมีการตัดน้ำแข็งจากแม่น้ำมาทำเป็นถ้ำน้ำแข็งเพื่อใช้เก็บเบียร์หมักเบียร์ลาเกอร์กันเลยทีเดียว และก็จะทำกันได้ในฤดูหนาวเท่านั้นในบางพื้นที่ จึงทำให้การผลิตนั้นค่อนข้างลำบาก แต่หลังจากการมาของเครื่องทำความเย็นส่งผลให้ผลผลิตเบียร์เสถียรและเชื่อถือได้ จึงเกิดเบียร์ เพล ลาเกอร์ ขึ้นมา ข้อมูลเชิงลึกของเบียร์เพล ลาเกอร์ ไว้จะหามาให้เพิ่มเติมคะ นอกจากนั้นยังมีเบียร์ลาเกอร์สีดำที่เรียกว่า ดุงเกิ้ล (Dunkel) และ ชวาสเบียร์ (Schwarzbier), เบียร์พิลเซนเนอร์ (Pilsner), บ๊อก (Bock), ดอร์ทมุนเดอร์ เอ๊กพอร์ท (Dortmunder Export) และ มาเซ่น (Märzen)ถือเป็นเบียร์ในตระกูลลาเกอร์ และนี่ก็ก่อให้เกิดข้อโดนเด่นอีกอย่างของเบียร์เอลที่มีเหนือกว่าเบียร์ลาเกอร์คือ “เอลไม่ง้อตู้เย็น”


 
 
               และนี่ก็เป็นเรื่องราวแบบคร่าวๆนะคะว่าเบียร์ลาเกอร์เป็นแบบใด แล้วในตอนหน้าเซจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับเบียร์เอลกันบ้าง สำหรับวันนี้บายยยย
 

 
 
 

เบียร์ดีไซน์เก๋ของเบลเยี่ยม

               คราวนี้เรามาดูเบียร์ที่ได้ชื่อว่ามีทรงแก้วที่แปลกที่สุดกันบ้างนะคะ เบียร์ตัวนี้มีชื่อว่า KWAK เป็นเบียร์ของประเทศเบลเยี่ยม ยอมรับเลยคะว่าความรู้สึกแรกที่สั่งควากมากินก็เพราะรูปทรงของแก้วนั้นเอง
 
 
 
 
 
               ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักที่มาของควากกันก่อนดีกว่าว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ความเป็นมาของ Kwak

                Kwak เป็นเบียร์ที่ตั้งตามผู้ผลิต Pauwel Kwak ที่เริ่มจัดทำครั้งแรกในปี 1791 ปัจจุบันเป็นของตระกูล Bosteels ใน Buggenhout
               ในสมัยของนโปเลียนมหาราช Pauwel Kwak ซึ่งเป็นนักทำเบียร์และเจ้าของ ‘De Hoorn’ inn ใน Dendermonde ผู้เดินทางผ่านมามักจะหยุดพักที่นี่เพื่อพักระหว่างทาง อย่างไรก็ตามกฎตอนนั้นมีอยู่ว่า คนขี่รถม้าต้องประจำกับตัวรถ และม้าโดยตลอดเวลา ดังนั้นถ้วยที่ถือได้ธรรมดาอาจจะไม่เหมาะในทางปฏิบัตินัก Pauwel Kwak เจ้าของที่พักจึงได้ออกกแบบแก้วที่ดีไซน์พิเศษเพื่อการนี้ ส่วนอูมของแก้วด้านล่างที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีนั้นทำให้สามารถไปแหวนวางบนรถม้าได้ และจับถือสะดวกเมื่อต้องใส่ถุงมือหนาๆ

               จะเป็นเพราะด้วยแหล่งกำเนิด ประวัติศาสตร์ หรือจุดขายที่ทันสมัยก็แล้วแต่ การดื่ม Kwak ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ อย่างไรก็ดีการดื่มแบบไม่ระมัดระวังอาจทำให้หกและกระฉอกจากแก้วได้



นี่คะรูปทรงของแก้วจะเป็นหยอดน้ำ ส่วนด้ามไม้ข้างๆก็เอาไว้จับแบบนี้
 

อีกซักรูป
 

นี่รูปขวด
 
               การสั่ง Kwak ครั้งแรกถือเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ เพราะมันจะมากับฐานแท่นที่ทำด้วยไม้และหลอดแก้วทรงสูงที่ทำให้ได้ฟองปริมาณมากและหนา นอกเหนือจากแก้วที่สวยงายงามแล้ว นี่คือเบียร์เบลเยี่ยมระดับสุดยอด สีอำพันเข้ม กับฟองด้านบนสีครีม นอกจากนี้รสชาติยังละมุนกลมกล่อมออกทั้งผลไม้ มอลต์ และฮอปส์ แซมด้วยกล้วยและชะเอม (มั้งนะเจ้าของร้านเค้าบอกมา(-..-)) แต่รสชาติค่อนข้างโอเคอะ กลิ่นที่สัมผัสได้มากที่สุดน่าจะเป็นมอลต์กับฮอปส์นะ แต่ส่วนกล้วยนี่คือ.....เอ่อ.....ชิมแล้วแยกไม่ออกเลยอะว่ามีกล้วยด้วย แล้วยังมีรสของชะเอมแซมมาอีก -..-
               เอาเป็นว่าหากเพื่อนๆคนไหนอยากรู้จักเบียร์อะไรก็คอมเม้นข้างล่างได้นะคะแล้วเซจะไปหาข้อมูลมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะ ^^ สำหรับควากพักไว้เท่านี้ก่อน บายยยยย

 

 

 

 

 

มาดูใกล้ๆบ้านเรากันบ้างดีกว่า

               วันนี้เซจะพาไปรู้จักกับเบียร์ของประเทศเพื่อนบ้านกัน นั้นก็คือเบียร์ลาว อันนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าอร่อยมั๊กกกกกกกกกกกกกกก สมกับคำที่เค้าล่ำลือกันจริงๆ เซให้คะแนนความชอบเต็มร้อยเลยนะ  แล้วเบียร์ลาวเนี่ยะก็เป็นประเภทเบียร์ลาเกอร์ ซึ่งส่วนตัวพอเอามาเทียบกับเบียร์นอกตัวอื่นนะเบียร์ลาวชนะขาดอะ ชินเถ่า เบียร์จีนก็สู้ไม่ได้นะจ๊ะขอบอก (ความชอบส่วนตัว อิอิ) อะอะเราลองไปดูหน้าตากันก่อนนะ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก
 

 
นี่มุมไกลๆ

จริงๆแก้วจะใช้เป็นแก้วอะไรก็ได้นะไม่จำเป็นต้องแก้วไวน์ เพราะเบียร์ลาวไม่มีแก้วเฉพาะ


               เบียร์ลาวนั้นถือได้ว่ามีความใกล้เคียงกับเบียร์ของบ้านเรา  ที่บ้านของเค้าก็ทานกันปกตินะคะเซเคยได้ไปลาวอยู่พักนึง เค้าก็กินกันแบบใส่น้ำแข็งเหมือนลีโอของไทยเรา แต่ที่นี้ที่เซใส่แก้วไวน์โดยไม่ใส่น้ำแข็งเพราะอยากได้รสชาติของเบียร์จริงๆ และที่สำคัญคือราคาค่อนข้างที่แพงในเวลาขึ้นมาอยู่ร้านเบียร์นอก TT
               สีของเบียร์ลาวนั้นสีจะเข้มมาก จะเป็นน้ำตาลเข้มจนเกือบที่จะดำเลยแหละ ส่วนเรื่องของรสชาตินี่ต้องขอบอกเลยว่ากลมกล่อมและเข้มข้นมากๆ ทั้งหอมและรู้สึกแน่น อันที่จริงเบียร์ตระกูลลาเกอร์นั้นจะมีรสชาติที่ค่อนข้างซ่าส์ เหมือนลีโอ แต่เบียร์ลาวเป็นลาเกอร์ที่ไม่ซ่าส์มาก คือจะซ่าส์แค่ตอนสัมผัสโดนลิ้น แต่พอกลืนลงคอที่ได้กลิ่นของความหอมและรสชาติที่ต่างจากลาเกอร์ของบ้านเรา


นี่คือสีของเบียร์ใกล้ๆคะ สีเข้มมากๆ

55+อันนี้ทำขำๆนะคะ

และรูปสุดท้าย
 
               หากใครที่ต้องการอยากจะลองชิมตอนนี้มีขายกันอย่างแพร่หลายแล้วนะคะ แล้วราคาก็ไม่ได้แพงเลย ตามซอยหอมอกรุงเทพก็มีมอรังสิตก็มีคะ หาซื้อง่ายมาก แต่ที่วันนี้ยอมจ่ายแพงก็เพราะว่าอยากมากินบรรยากาศด้วย แหะๆ เอาเป็นว่าเด๋วมาเจอกันใหม่กับเบียร์ตัวอื่นนะคะ บายยย


วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

มาดู FULLER'S อีกตัวกัน

               สวัสดีคะเพื่อนๆหลังจากโพสแรกๆของเซเคยลงตัว FULLER'S LONDON PORTER ให้ดูกันไปแล้ว  คราวนี้เลยอยากจะแนะนำตัว FULLER'S ESB  ให้เพื่อนๆได้ชมกันคะ  เรามาดูโลโก้กันเลยดีกว่า

                                                                     FULLER'S ESB


                                                                    นี่ใกล้ๆดูกันชัดๆ
               สำหรับตัวนี้เซคิดว่ารสชาติพอดีนะมันจะไม่เข็มเกินไปเหมือนกับตัว PORTER  เพราะตัวนี้ รสชาติจะออกซ่าส์ๆนิดๆ  แล้วจะมีรสชาติปนของมะนาวอยู่หน่อยๆ  แอบหาข้อมูลของตัวนี้มานะคะได้ข่าวว่า  LONDON ESB  เนี่ยะคว้ารางวัลมากมายจากทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าเป็นเบียร์พรีเมียมเอล
               สำหรับใครนะคะที่ยังไม่รู้ว่าเบียร์เอลนั้นเป็นยังไง  ก่อนอื่นอื่นต้องอธิบายว่าเบียร์นั้นจะแบ่งเป็นสองประเภทนั้นก็คือ  เอล  กับ  ลาเกอร์
               เอล  คือ  เบียร์ที่มีรสชาติออกหวานและจะมีส่วนผสมของยีสส่วนใหญ่และเบียร์นอกส่วนมาก
                       ก็  จะเป็นประเภทเอลซะส่วนใหญ่
               ลาเกอร์  คือ  เบียร์ที่มีรสชาติค่อนข้างซ่าส์สรุปง่ายๆก็คือพวก สิงฆ์ ลีโอ บ้านเรานั้นแหละคะ ถ้ามีเวลาเอาไว้จะอธิบายแบบละเอียดนะคะ ช่วงนี้ค่อนข้างรีบ แหะๆ



แก้วของ ESB




มุมบน



แผ่นรองแก้วแอบเป็น Paulaner 55+












วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คราวนี้ถึงคราวของเบียร์ผลไม้

               หลังจากที่เมื่อหลายวันก่อนได้นำเสนอ LONDONPORTER ไป วันนี้เราลองมาดูอะไรที่เบาๆกันบ้างดีกว่า  นั้นก็คือเบียร์ผลไม้นั่นเอง  วันนี้เซขอเสนอ St LOUIS framboise
               เบียร์ชนิดนี้มีสีแดงเข้มแบบเชอรี่และมีความขุ่นเล็กน้อย เบียร์ประเภทนี้มีกลิ่นราสเบอรี่ที่รุนแรงมากเข้าขั้นว่าเป็นน้ำผลไม้ราสเบอร์เลยก็ว่า  ส่วนมากพวกเราอาจจะคุ้นเคยกับเบียร์ผลไม้ที่แค่มีกลิ่นเพียงอย่างเดียวแต่พอทานเข้าไปแล้วก็ยังขมเป็นรสชาติของเบียร์อยู่  แต่ตัวนี้รับลองว่าไม่ใช่เลยคะ  แตกต่างมากกกกกกกกกกก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมเปรี้ยว ๆ ของมะนาวและยีสต์ เมื่อดื่มเข้าไปจะรับรู้ได้ถึงรสชาติหวานของเชอรี่และราสเบอรี่ในทันที รสหวานซ่อนเปรี้ยวของเบียร์ชนิดนี้ทำให้มันมีรสชาติที่น่าสนใจและมีลักษณะ ที่โดดเด่น


 
นี่คะขวดของ St LOUIS framboise


                                             แก้วลักษณะจะเป็นทรงแก้วไวน์


                    วันนี้เรายืมตัวแม่นางมาเป็นแบบ เนื่องจากเจ้าของblogหน้าป่วยมากกกก -..-


                                          ทานเบียร์กับนม (-..-') เข้ากันมากกก

               ก่อนกลับบ้านแอบถามพนักงานในร้านว่ามีกี่ตัวแล้วรสไหนอร่อยสุด แต่คำตอบที่ได้คือ แล้วแต่คนชอบ เซว่าก็อาจจะจริงนะ เพราะบางคนก็ไม่ชอบเปรี้ยวอาจจะชอบแค่ความหอมอย่างเดียวก็คงจะเลือกรสลูกพรีชเนอะ อ่อ!!!!เซลืมบอกไปว่าตัวนี้มีปริมาณแอลกอฮอร์เพียง 2.8% เองนะคะ  ถือว่าเบามากๆเลยทานเข้าไปแทบจะไม่รู้สึกมึนหรือเมาเลยแม้แต่นิดซึ้งเหมาะสาวๆที่ไม่ค่อยชอบแอลกอฮอร์แรงๆนะ
               เดี๋ยวเรามาดูกันดีกว่า St LOUIS จะมีตัวไหนกันบ้าง
St Louis Premium framboise ราสเบอร์รี่
St Louis Premium Kriek เชอร์รี่
• St Louis Premium Peche  ลูกพรีช

               วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า  ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีเบียร์ตัวไหนอยากแนะนำให้เซไปลองชิมก็คอมเม้นกันมาได้นะคะ  แล้วเซจะหาเวลาไปชิมแล้วเอามาบอกเพื่อนๆคนอื่นๆต่อไปคะ (^^)

 

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มารู้จักเบียร์ตระกูลอังกฤษบ้างกันดีกว่า

               วันนี้เซขอนำเสนออออออออออ..... LONDONPORTER ซึ้งเป็นเบียร์จากประเทศอังกฤษ ส่วนมากคนที่กินเบียร์ตัวนี้จะนิยมเรียกว่าLONDONPORTER แต่นั้นไม่ใช่ยี่ห้อนะคะ จริงๆแล้วต้องเรียกว่าFULLER'Sต่างหาก เบียร์FULLER'Sนั่นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ตัวนั่นก็คือ
-Fuller's London Pride
-Fuller's London Porter
-Fuller's ESB
-Fuller's India Pale Ale
               แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง LONDONPORTER แต่เซลองชิมกันก่อน เพราะให้กินทีเดียววันเดียวคงจะไม่ไหว 55+ ตัวนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบทานกาแฟและโอเลี้ยงมากๆ เพราะรสชาติจะค่อนข้างขมและมีกิ่นคล้ายๆกับเมล็ดกาแฟคั่วเล็กน้อย แต่ในโบชัวร์ทางร้านเค้าระบุว่าจะมีกลิ่นของช๊อคโกแลตอยู่ด้วย แต่เซลองชิมส่วนตัวคิดว่ากลิ่นที่ออกมามีแค่กลิ่นเดียวนั้นก็คือกลิ่นของกาแฟ แต่ก็ถือว่ารสชาติใช้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากว่ารสชาติของเบียร์ส่วนใหญ่ที่มักจะติดปากเราคือจะมีความซ่าและความขม และเบียร์ตัวนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนทานกาแฟคือจะมีความนุ่นปนกับความหอม จะทำให้เราลืมรสชาติของเบียร์ที่เราเคยทานมาเลยแหละคะ


                                      ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นเหล้าวางอยู่ข้างหลัง555+


                                            ดูสีกันชัดๆ แต่อาจจะมืดไปหน่อย


                                                Fuller's London Porter


                             นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะเด็กๆ ยังอยู่ชุดนักศึกษาอยู่เลย TT


              แก้วจะมีคำว่าFULLER'Sเพราะไม่ว่าจะเป็นFULLER'Sตัวไหนก็จะใช้แก้วตัวเดียวกันคะ

               โดยรวมนะคะถือว่าเบียร์ตัวนี้โอเคเลยเพราะมันทั้งนุ่มและหอมเอามากๆ แอบรู้มานะคะว่าเบียร์ตัวนี้ได้หมักจากมอลท์ที่มีสีน้ำตาลช็อกโกแลต จึงได้น้ำเบียร์ที่มีลักษณะสีเข้ม และใสอย่างกับกาแฟ  แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบทานขมตัวนี้ไม่ไหวแน่ๆ เดี๋ยวเซจะลองแนะนำแบบคร่าวๆนะคะว่าตัวไหนรสชาติเป็นยังไงจากการที่ได้ถามเจ้าของร้านมา
Fuller's London Pride  นุ่ม กลมกล่อม เบาๆไม่หนักมาก
Fuller's ESB  มีความซ่ากว่าตัวอื่น และจะมีรสชาติของมะนาวนิดๆเหมาะกับผู้หญิง
Fuller's India Pale Ale ตัวนี้จะมีความพิเศษหน่อยเพราะมีการใส่ยีสเยอะกว่าปกติ ซึ้งกลิ่นจะฉุนกว่าทุกตัว ส่วนลายละเอียดต้องรอติดตาม 55+ เพราะยังไม่ได้ลองกิน
               และนี่ก็เป็นข้อมูลคร่าวๆนะคะและถ้าวันไหนได้ลองชิมก็จะถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆได้ดูกันใน
FULLER'S ตัวอื่นๆที่เหลืออยู่ แต่รับรองได้เลยว่าเบียร์แต่ละตัวนั้นต่างก็มีเสน่ห์ที่ต่างกันออกไป ยังไงซะเซจะพยายามหาข้อมูลมาให้เพื่อนได้ชมกันคะ ^^

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาดู Paulaner กัน

       วันนี้เซจะขอแนะนำเบียร์ PAULANER ซึ้งก่อนหน้านี้เคยเกลิ่นไปแล้วว่าจะอัพรีวิวรสชาติของเบียร์ในแต่ละยี่ห้อ ให้เพื่อนได้ชมกัน ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเบียร์ในแต่ละยี่ห้อนั้นมันก็จะมีแยกย่อยมาอีกหลายตัว เช่น
-paulaner hefe weissbier naturtrüb
-paulaner hefe weissbier dunkel
-Hefe-Weissbier Alkoholfrei
-paulaner Original Munchner Dunke
-paulaner Original Munchner Hell
-paulaner Premium Pils
-paulaner Salvator
               แค่ได้เห็นชื่อก็มึนกันเลยทีเดียว (-..-) ตัวเซเองกินเข้าไปแค่ครึ้งแก้วก็ทำเอามึนแล้ว 55+ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าตัวที่จะแนะนำในวันนี้คือ paulaner hefe weissbier naturtrüb ที่เลือกตัวนี้มาแนะนำก็เพราะว่า ทางร้านบอกมาว่าตัวนี้ออกเยอะแล้วก็ออกบ่อยที่สุดบรรดา paulaner พูดถึงรสชาติเบียร์ตัวนี้จะมีรสชาติของผลไม้อยู่หน่อยๆ(แต่ก็บอกรสชาติไม่ ถูกว่าเป็นรสชาติของผลไม้อะไร)รสชาติเข้มข้นแต่ก็ไม่ถึงกับข้นมาก ปริมาณแอลกอฮอร์เพียแค่5.5%ถือว่าน้อยและธรรมดามากนะคะในหมู่ของพวกเบียร์นำ เข้า บางยี่ห้อมีถึง11.3เลย เอาเป็นว่าคะแนนเต็ม10เซให้PAULANERไป6แล้วกันคะ เพราะถือว่าไม่ค่อยโดนเท่าไหร่
 

 
นี่คือโฉมของแก้วPAULANERแต่จะมีพวกDUNKEL(เบียรดำ)ที่จะเป็นแก้วมากร์มีหูจับ
 

 
เจ้าของBLOGลุยกินเองภายใน15นาที TT
 

 
ส่วนนี้ที่เพื่อนๆเห็นเป็นขีด นั้นก็คือเส้นบอกปริมาณฟองที่ควรจะมี หากต่ำกว่าเส้นถือว่ารินไม่ถูกต้อง เพราะการกินเบียร์ที่ดีนั้นควรจะต้องมีฟองในปริมาณที่พอเหมาะซึ้งเค้าจะ กำหนดมาให้เราดูที่ข้างแก้ว
 

 
รูปที่รองแก้วPAULANER
 

 
และนี่ก็เป็นอันหมดแก้ว -..- ขอบอกว่ามึนสุดๆ
 
               คราวหน้าต้องรอดูกันนะคะว่าเซจะพาไปรู้จักกับเบียร์ยี่ห้ออะไร หรืออาจจะเป็นยี่ห้อเดิมแต่คนละตัว เพราะวันนี้ได้ชิมมาแค่ตัวเดียวจริงๆ ต้องขอเวลาไปอ่านหนังสือก่อน เพราะกำลังอยู่ในช่วงสอบเลย ไว้จะมาอัพให้ดูกันใหม่นะคะ บายยยยยยยยยย..........